"ฟาสต์ฟู้ด" หรือ "อาหารขยะ" ที่ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของไขมัน นม เนย และเนื้อสัตว์เข้ามาอีก ทำให้ผู้ที่รับประทานสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าไปจำนวนมาก มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ
สภาพสังคมไทยเรานั้น ปัจจุบันเริ่มกลายเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องแข่งขันกับเวลา ท่ามกลางวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายๆ ท่านไม่มีเวลาใส่ใจและให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากนัก ยิ่งอิทธิพลการบริโภคอาหารจากชาวตะวันตก ซึ่งนิยม "ฟาสต์ฟู้ด" หรือ "อาหารขยะ" ที่ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของไขมัน นม เนย และเนื้อสัตว์เข้ามาอีก ทำให้ผู้ที่รับประทานสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าไปจำนวนมาก มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ และยังมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆมากมาย อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอัมพาต ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เราสามารถหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บได้จากการเลือกรับประทานอาหาร ดังนั้นวันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” มีเกร็ดเล็กๆ ในการเลือกกินเพื่อสุขภาพ 10 อย่าง มาฝากคนรักสุขภาพกัน
1.ไข่ไก่
เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมากๆ แถมยังราคาถูกอีกด้วย คุณๆ รู้ไหมว่า “ไข่ไก่” เป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้ได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา ทั้งยังมีลูทีน (Lutein : สารสกัดจากธรรมชาติ อยู่ในกลุ่มสารที่มีสี ในตระกูลแคโรทีนอยด์ เป็นสารี่พบบริเวณตา) ที่จะป้องกันผิวจากการทำลายของแสงแดด อย่างไรก็ดี “ไข่ไก่” ก็มีคลอเรสเตอรอลในส่วนที่เป็นไข่แดงค่อนข้างสูง จึงต้องบริโภคแต่พอดี ซึ่งเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปจนถึงกลุ่มวัยรุ่น ควรบริโภควันละ 1 ฟอง ส่วนคนวัยทำงานควรกินไข่ไก่ไม่เกิน 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
2.บร็อคโคลี่
เดิมทีเป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แถบยุโรปตอนใต้ ทำให้บ้านเราหาซื้อรับประทานได้ยาก แต่ปัจจุบันนี้มีการนำมาเพราะปลูกในเมืองไทยอย่างแพร่หลาย ใน จ.เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี รวมถึงในกรุงเทพมหานคร ทำให้ความนิยมกิน เริ่มมีมากขึ้น เพราะ “บล็อคโคลี่” เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีน (สารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตาในเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง) สูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย
3.ถั่วเหลือง
พืชตระกูลถั่วนั้นมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกันออกไป แต่ที่นิยมรับประทานกันมากก็คือ “ถั่วเหลือง” เพราะมีโปรตีน เลซิทิน และกรดแอมิโน รวมทั้งมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอะซิน วิตามินบี 1 และบี 2 วิตามินเอและอี ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก และบำรุงระบบประสาทในสมอง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง สารสกัดจากถั่วเหลืองอบแห้งมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และต้านอนุมูลอิสระ
4.เนื้อปลา
ยุคสมัยนี้ หลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไป เพราะกลัวอ้วน แต่อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ “เนื้อปลา” เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
5.ผลไม้ต่างๆ
เมืองไทยนั้นเป็นเมืองสวรรค์ของคนรักผลไม้ เพราะมีทั้งผลไม้เมืองร้อนและเมืองหนาว ผลไม้ของไทยมีทั้งรสเปรี้ยวและรสหวาน สามารถหารับประทานได้ตลอดปี ทั้งมีราคาไม่แพง ฉะนั้นการรับประทานผลไม้ของคนไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากในผลไม้มีกากใยอาหาร และวิตามิน เกลือแร่ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย อีกทั้งน้ำและกากใยในผลไม้ ยังช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุด ต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี
6.น้ำเปล่า
ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายสำหรับความจำเป็นและคุณประโยชน์ที่ทำให้เราต้อง “ดื่มน้ำ” เพราะ “น้ำ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่ม คือ “น้ำเปล่า” ที่สะอาดหรือต้มสุก และควรดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนไม่เย็น เรียกว่าสาวคนใดอยากสุขภาพดีอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
7.ข้าวกล้อง
หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “ข้าวซ้อมมือ” คือเมล็ดข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือผ่านการขัดสีแค่บางส่วน ทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวสาร (ข้าวขาว) ทุกประเภท ข้าวกล้องกับข้าวสารมีปริมาณพลังงาน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่กระบวนการผลิต และคุณสมบัติทางโภชนาการอื่น เมื่อเปลือกของเมล็ดข้าวเปลือกถูกกะเทาะออกจะได้ข้าวกล้อง ถ้าต้องการได้ข้าวสาร ผิวของเมล็ดข้าวอีกชั้นหนึ่งคือเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวจะถูกขัดสีออกไป ซึ่งทำให้วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ลดลงเช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม แต่ข้าวกล้องนั้นมีระยะในการเก็บรักษาน้อย เพราะเกิดความชื้นง่ายจึงทำให้เกิดเชื้อรา
8.นม
การดื่มนม ช่วยเสริมสร้างแคลเซียม ป้องกันโรคกระดูกพรุน “นม” จะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่ ซึ่งสามารถนำไปสร้างผลิตภัณฑ์อื่นได้แก่ ครีม เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม ชีส นอกจากนี้ยังหมายถึงเครื่องดื่มอื่นที่นำมาใช้ทดแทนนม เช่น นมถั่วเหลือง นมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์ สำหรับการดื่มนมที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงของวัยด้วย โดยเด็กที่มีอายุ 1-12 ปี ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว ขณะที่วัยรุ่นหนุ่มสาว อายุระหว่าง 13-25 ปี ควรดื่มวันละไม่น้อยกว่า 4 แก้ว ส่วนผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว
9.โยเกิร์ต
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว สำหรับประโยชน์ของ “โยเกิร์ต” นั้นมีมากมาย แต่ที่เห็นได้ชัดคือช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ทำให้ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้ยังมีทั้งโปรตีนและแคลเซียมที่สูง จึงช่วยให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี ขณะที่ผลการศึกษายังพบว่า สามารถลดปริมาณคลอเรสเตอรอลได้อีกด้วย
10.ธัญพืช
เป็นเมล็ดพันธุ์ของพืชตระกูลเดียวกับหญ้าหรือข้าว ตัวอย่างของธัญพืชก็เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ข้าว ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรน์ ข้าวโอ๊ต และข้าวโพด การบริโภคธัญพืชนั้นมีกันมาแต่โบราณ แต่การปฏิวัติระบบเกษตรกรรม ทำให้เมล็ดธัญพืชหารับประทานได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันคนได้กลับมาให้ความสนใจกับการกินธัญพืชมากขึ้น โดยการนำมาผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น นม เพราะธัญพืชประกอบด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่างๆมากมาย ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาติเหล็ก วิตามินต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งยังมีเส้นใยอาหาร
เห็นคุณประโยชน์เหล่านี้แล้ว ก็ต้องหันมามองย้อนดูตัวเราว่า การมีสุขภาพดี และปลอดภัยไร้โรค เป็นสิ่งที่หลายๆ คนปรารถนาไม่ใช่หรือ???
คำกล่าวที่ว่า "การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ์" จึงเป็นวลีที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นสิ่งสำคัญ ก็คือการดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ควรเริ่มเสียแต่วันนี้...ว่า “เรา” จะเลือกบริโภคอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายเรามีสุขภาพที่ดี
….....................................
จีรานุช ฤทธิสนธิ์
ที่มา : http://dailynews.co.th/
สภาพสังคมไทยเรานั้น ปัจจุบันเริ่มกลายเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องแข่งขันกับเวลา ท่ามกลางวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายๆ ท่านไม่มีเวลาใส่ใจและให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากนัก ยิ่งอิทธิพลการบริโภคอาหารจากชาวตะวันตก ซึ่งนิยม "ฟาสต์ฟู้ด" หรือ "อาหารขยะ" ที่ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของไขมัน นม เนย และเนื้อสัตว์เข้ามาอีก ทำให้ผู้ที่รับประทานสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าไปจำนวนมาก มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ และยังมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆมากมาย อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอัมพาต ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เราสามารถหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บได้จากการเลือกรับประทานอาหาร ดังนั้นวันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” มีเกร็ดเล็กๆ ในการเลือกกินเพื่อสุขภาพ 10 อย่าง มาฝากคนรักสุขภาพกัน
1.ไข่ไก่
เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมากๆ แถมยังราคาถูกอีกด้วย คุณๆ รู้ไหมว่า “ไข่ไก่” เป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้ได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา ทั้งยังมีลูทีน (Lutein : สารสกัดจากธรรมชาติ อยู่ในกลุ่มสารที่มีสี ในตระกูลแคโรทีนอยด์ เป็นสารี่พบบริเวณตา) ที่จะป้องกันผิวจากการทำลายของแสงแดด อย่างไรก็ดี “ไข่ไก่” ก็มีคลอเรสเตอรอลในส่วนที่เป็นไข่แดงค่อนข้างสูง จึงต้องบริโภคแต่พอดี ซึ่งเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปจนถึงกลุ่มวัยรุ่น ควรบริโภควันละ 1 ฟอง ส่วนคนวัยทำงานควรกินไข่ไก่ไม่เกิน 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
2.บร็อคโคลี่
เดิมทีเป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แถบยุโรปตอนใต้ ทำให้บ้านเราหาซื้อรับประทานได้ยาก แต่ปัจจุบันนี้มีการนำมาเพราะปลูกในเมืองไทยอย่างแพร่หลาย ใน จ.เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี รวมถึงในกรุงเทพมหานคร ทำให้ความนิยมกิน เริ่มมีมากขึ้น เพราะ “บล็อคโคลี่” เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีน (สารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตาในเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง) สูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย
3.ถั่วเหลือง
พืชตระกูลถั่วนั้นมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกันออกไป แต่ที่นิยมรับประทานกันมากก็คือ “ถั่วเหลือง” เพราะมีโปรตีน เลซิทิน และกรดแอมิโน รวมทั้งมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอะซิน วิตามินบี 1 และบี 2 วิตามินเอและอี ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก และบำรุงระบบประสาทในสมอง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง สารสกัดจากถั่วเหลืองอบแห้งมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และต้านอนุมูลอิสระ
4.เนื้อปลา
ยุคสมัยนี้ หลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไป เพราะกลัวอ้วน แต่อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ “เนื้อปลา” เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
5.ผลไม้ต่างๆ
เมืองไทยนั้นเป็นเมืองสวรรค์ของคนรักผลไม้ เพราะมีทั้งผลไม้เมืองร้อนและเมืองหนาว ผลไม้ของไทยมีทั้งรสเปรี้ยวและรสหวาน สามารถหารับประทานได้ตลอดปี ทั้งมีราคาไม่แพง ฉะนั้นการรับประทานผลไม้ของคนไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากในผลไม้มีกากใยอาหาร และวิตามิน เกลือแร่ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย อีกทั้งน้ำและกากใยในผลไม้ ยังช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุด ต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี
6.น้ำเปล่า
ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายสำหรับความจำเป็นและคุณประโยชน์ที่ทำให้เราต้อง “ดื่มน้ำ” เพราะ “น้ำ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่ม คือ “น้ำเปล่า” ที่สะอาดหรือต้มสุก และควรดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนไม่เย็น เรียกว่าสาวคนใดอยากสุขภาพดีอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
7.ข้าวกล้อง
หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “ข้าวซ้อมมือ” คือเมล็ดข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือผ่านการขัดสีแค่บางส่วน ทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวสาร (ข้าวขาว) ทุกประเภท ข้าวกล้องกับข้าวสารมีปริมาณพลังงาน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่กระบวนการผลิต และคุณสมบัติทางโภชนาการอื่น เมื่อเปลือกของเมล็ดข้าวเปลือกถูกกะเทาะออกจะได้ข้าวกล้อง ถ้าต้องการได้ข้าวสาร ผิวของเมล็ดข้าวอีกชั้นหนึ่งคือเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวจะถูกขัดสีออกไป ซึ่งทำให้วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ลดลงเช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม แต่ข้าวกล้องนั้นมีระยะในการเก็บรักษาน้อย เพราะเกิดความชื้นง่ายจึงทำให้เกิดเชื้อรา
8.นม
การดื่มนม ช่วยเสริมสร้างแคลเซียม ป้องกันโรคกระดูกพรุน “นม” จะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่ ซึ่งสามารถนำไปสร้างผลิตภัณฑ์อื่นได้แก่ ครีม เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม ชีส นอกจากนี้ยังหมายถึงเครื่องดื่มอื่นที่นำมาใช้ทดแทนนม เช่น นมถั่วเหลือง นมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์ สำหรับการดื่มนมที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงของวัยด้วย โดยเด็กที่มีอายุ 1-12 ปี ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว ขณะที่วัยรุ่นหนุ่มสาว อายุระหว่าง 13-25 ปี ควรดื่มวันละไม่น้อยกว่า 4 แก้ว ส่วนผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว
9.โยเกิร์ต
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว สำหรับประโยชน์ของ “โยเกิร์ต” นั้นมีมากมาย แต่ที่เห็นได้ชัดคือช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ทำให้ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้ยังมีทั้งโปรตีนและแคลเซียมที่สูง จึงช่วยให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี ขณะที่ผลการศึกษายังพบว่า สามารถลดปริมาณคลอเรสเตอรอลได้อีกด้วย
10.ธัญพืช
เป็นเมล็ดพันธุ์ของพืชตระกูลเดียวกับหญ้าหรือข้าว ตัวอย่างของธัญพืชก็เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ข้าว ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรน์ ข้าวโอ๊ต และข้าวโพด การบริโภคธัญพืชนั้นมีกันมาแต่โบราณ แต่การปฏิวัติระบบเกษตรกรรม ทำให้เมล็ดธัญพืชหารับประทานได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันคนได้กลับมาให้ความสนใจกับการกินธัญพืชมากขึ้น โดยการนำมาผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น นม เพราะธัญพืชประกอบด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่างๆมากมาย ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาติเหล็ก วิตามินต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งยังมีเส้นใยอาหาร
เห็นคุณประโยชน์เหล่านี้แล้ว ก็ต้องหันมามองย้อนดูตัวเราว่า การมีสุขภาพดี และปลอดภัยไร้โรค เป็นสิ่งที่หลายๆ คนปรารถนาไม่ใช่หรือ???
คำกล่าวที่ว่า "การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ์" จึงเป็นวลีที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นสิ่งสำคัญ ก็คือการดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ควรเริ่มเสียแต่วันนี้...ว่า “เรา” จะเลือกบริโภคอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายเรามีสุขภาพที่ดี
….....................................
จีรานุช ฤทธิสนธิ์
ที่มา : http://dailynews.co.th/